วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ส่วนประกอบของโปรแกรม Ulead Video Studio 11



 ส่วนประกอบของโปรแกรม Ulead Video Studio 11








แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 วิธีการติดตั้งโปรแกรม Ulead Video Studio 11

1. วิธีการติดตั้งโปรแกรม Ulead Video Studio 11

    การติดตั้งโปรแกรม Ulead Video Studio 11 มีขั้นตอนดังนี้
       ·  คลิกเลือก Setup

      ·   หน้าแรกเมื่อกด Setup

·   จากนั้นคลิกปุ่ม Next

·    ชุดติดตั้งจะแสดงจอภาพดังภาพด้านล่างให้คลิ้กที่  I accept the terms of license agreement  แล้วคลิ้กปุ่ม Next

·  จากชุดติดตั้งทำงานดังภาพด้านล่าง จากนั้น ใส่ชื่อ และโค้ด

·    ชุดติดตั้งเริ่มทำงานดังภาพด้านล่าง คลิ้กเลือกใส่ชื่อ และโค้ด เรียบร้อยแล้ว คลิ้กที่ปุ่ม Next

 ·      จากนั้นชุดติดตั้งเริ่มการติดตั้งลงบนเครื่องดังภาพด้านล่าง จากนั้นคลิ้กที่ปุ่มNext

·      จากภาพ ให้คลิ้กเลือก Unted Kingdom จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม Next

·    เมื่อชุดติดตั้งทำการติดตั้งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จะแสดงจอภาพดังภาพด้านล่างให้คลิ้ก Next
·   เมื่อชุดติดตั้งทำการติดตั้งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จะแสดงจอภาพดังภาพด้านล่างให้รอสักครู่

·  คลิ้ก Finish เป็นอันเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรม



·    เมนูหลักและเครื่องมือต่างๆ ของโปรแกรม Ulead Video Studio 11
    โปรแกรม Ulead Video Studio 11 ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 โหมด ประกอบด้วย 
1. VideoStudio Edittor
2. Movie Wizard
3. Dv - to - DVD Wizard













แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

ใบงาน/ใบกิจกรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 มารู้จักคอมพิวเตอร์กราฟิกกันเถอะ



น่วยการเรียนรู้ที่ มารู้จักคอมพิวเตอร์กราฟิกกันเถอะ





แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1




แบบทดสอบก่อนเรียน 
หน่วยการเรียนรู้ที่ มารู้จักคอมพิวเตอร์กราฟิกกันเถอะ




คลิกที่นี่ ==>>  http://gg.gg/adkzh







1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์กราฟิก



ความหมายของคอมพิวเตอร์กราฟิก


             ปัจจุบันคอมพิวเตอร์กราฟิกเข้ามามีบทบาทกับงานด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมากมีการนำคอมพิวเตอร์กราฟิก มาสร้างสรรค์เป็นผลงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภาพ และการปรับแต่งสีภาพ มีการนำคอมพิวเตอร์กราฟิก ไปใช้กับงานด้านต่าง  อาทิเช่น งานสิ่งพิมพ์ งานโฆษณา งานออกแบบ งานนำเสนอข้อมูล งานสร้างภาพการ์ตูน งานสร้างสื่อการเรียนการสอน เป็นต้น โดยภาพกราฟิกจะทำให้งานที่ได้มีความสวยงามและน่าสนใจยิ่งขึ้น การศึกษา และ ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของคอมพิวเตอร์กราฟิก จัดว่าเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อช่วยให้การออกแบบ หรือการตกแต่งภาพกราฟิกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1.1 ความหมายของกราฟิกและคอมพิวเตอร์กราฟิก
            กราฟิก หมายถึง ศิลปะหรือศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่สื่อความหมายโดยใช้เส้น ภาพเขียน สัญลักษณ์ ภาพถ่าย ซึ่งมีลักษณะเห็นได้ชัดเจน เข้าใจความหมายได้ทันที และถูกต้องตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ
            คอมพิวเตอร์กราฟิก หมายถึง การสร้างและการจัดการภาพกราฟิก โดย ใช้ คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพ การตกแต่งแก้ไขภาพ หรือการจัดการเกี่ยวกับภาพ เช่น ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ การตกแต่งภาพถ่าย การสร้างภาพตามจินตนาการ และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายให้ชัดเจนและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม เช่น การนำเสนอข้อมูลด้วยแผนภาพหรือกราฟ แทนที่จะเป็นตารางของตัวเลข ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการศึกษา งานด้านธุรกิจ งานด้านการออกแบบ งานด้านบันเทิง หรืองานด้านการแพทย์ เป็นต้น













1.2 หลักการทำงานของภาพกราฟิก



1.2 หลักการทำงานของภาพกราฟิก
            หลักการทำงานของภาพกราฟิก แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
           1.2.1 ภาพกราฟิกแบบราสเตอร์ (Raster)
            
ภาพกราฟิกแบบราสเตอร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล (Pixel) มีการเก็บค่าสีที่เจาะจงในแต่ละตำแหน่งจนเกิดเป็นภาพในลักษณะต่าง ๆ เช่น ภาพถ่าย
ดังนั้น ภาพแบบราสเตอร์ มี
ข้อดี คือ เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการสร้างสีหรือกำหนดสีที่ต้องการความละเอียดและสวยงาม
ข้อเสีย คือ หากมีการขยายขนาดภาพซึ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนจุดสีให้กับภาพ ส่งผลให้คุณภาพของภาพนั้นสูญเสียไปความละเอียดของภาพจะลดลงมองเห็นภาพเป็นแบบ จุดสีชัดเจนขึ้นไฟล์ภาพจะมีขนาดใหญ่และใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บมากตามไปด้วย โปรแกรมที่นิยมใช้ในการสร้างภาพแบบราสเตอร์ ได้แก่ โปรแกรม Paintbrush โปรแกรม Adobe Photoshop เป็นต้น ดังแสดงในภาพที่ 1.1

ภาพที่ 1.1  ภาพแบบราสเตอร์



           1.2.2  ภาพกราฟิกแบบเวคเตอร์ (Vector)
            ภาพกราฟิกแบบเวคเตอร์ เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการประมวลผลโดยอาศัยหลักการคำนวณทางคณิตศาสตร์ มีสีและตำแหน่งที่แน่นอน ภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน โดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง หรือรูปทรง เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพ จะไม่ลดลง เช่น ภาพการ์ตูนเมื่อถูกขยายภาพออกมา ภาพที่ได้ก็จะยังคงรายละเอียดและความชัดเจนไว้เหมือนเดิม และขนาดของไฟล์ภาพจะมีขนาดเล็กกว่าภาพแบบราสเตอร์ โปรแกรมที่นิยมใช้สร้างภาพแบบเวคเตอร์ ได้แก่ โปรแกรม Illustrator โปรแกรม CorelDraw เป็นต้น ดังแสดงในภาพที่ 1.2
  


ภาพที่ 1.2  ภาพแบบเวคเตอร์






1.3 ประเภทของภาพกราฟิก



1.3  ประเภทของภาพกราฟิก 
            
ประเภทของภาพกราฟิก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
           1.3.1  ภาพกราฟิกประเภท มิต
            เป็นภาพกราฟิกที่มีแต่ความกว้างและความยาว แต่จะไม่มีความหนาหรือความลึก ได้แก่ ภาพสามเหลี่ยม ภาพสี่เหลี่ยม ภาพถ่าย ภาพลายเส้น ภาพวาด เป็นต้น โดยทั่วไปเรียกภาพกราฟิกประเภท มิติว่า ภาพร่าง ดังแสดงในภาพที่1.3 


ภาพที่ 1.3 ภาพกราฟิกประเภท 2 มิติ

           1.3.2    ภาพกราฟิกประเภท 3 มิติ
เป็นภาพที่เกิดจากการใช้โปรแกรมสร้างภาพ มิติ ภาพที่ได้จะมีลักษณะเหมือนภาพที่มองจากตาคน
โดยภาพกราฟิกประเภท 3 มิติ จะมีส่วนโค้ง เว้า มุม แสง ความลึกและรายละเอียดที่สูงขึ้นจาก
ภาพกราฟิกประเภท มิติ มีลักษณะการมองภาพที่เหมือนจริง ดังแสดงในภาพที่ 1.4



ภาพที่ 1.4  ภาพกราฟิกประเภท 3 มิติ

           1.3.3    ความแตกต่างของภาพกราฟิก 2 มิติแบบราสเตอร์และแบบเวคเตอร์ 
     
ภาพกราฟิก 2 มิติแบบราสเตอร์และเวคเตอร์มีความแตกต่าง ดังแสดงในตารางที่ 1.1

ภาพกราฟิก 2 มิติแบบราสเตอร์ 
ภาพกราฟิก 2 มิติแบบเวคเตอร์
1. เกิดจากการเรียงตัวของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่าพิกเซล (Pixel) โดยจะเก็บค่าสีที่เจาะจงในแต่ละตำแหน่ง จนเกิดเป็นภาพในลักษณะ ต่าง  
1. เป็นการประมวลผลโดยอาศัยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ มีสีและตำแหน่งของสีที่แน่นอนภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน 
2. การขยายภาพจะมีการเพิ่มจำนวนจุดของภาพ ทำให้ความละเอียดลดลง มองเห็นภาพเป็นแบบจุด คุณภาพของภาพนั้นสูญเสียไป 
2. เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพจะไม่ลดลง ยังคงรายละเอียดและความชัดเจนของภาพไว้เหมือนเดิม 
3.การตกแต่งและแก้ไขภาพสามารถทำได้ง่ายและสวยงาม มีความเหมือนจริง เช่น การลบรอยตำหนิบนภาพเพื่อให้ ภาพดูสวยงามขึ้น 
3. นิยมใช้กับงานด้านสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน และงานด้านการออกแบบต่าง ๆ เช่น การออกแบบอาคาร การออกแบบการ์ตูน 
4. การประมวลผลภาพสามารถทำได้รวดเร็ว
4. การประมวลผลภาพใช้เวลานานเนื่องจากใช้คำสั่ง
ในการทำงาน






1.4 ระบบสีที่ใช้กับภาพกราฟิก



1.4  ระบบสีที่ใช้กับภาพกราฟิก
           โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีที่สร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการมองเห็นสีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปนั้น มีอยู่ด้วยกัน 4 ระบบ ได้แก่
            1. ระบบสี RGB ตามหลักการแสดงสีของเครื่องคอมพิวเตอร์ 
            2. ระบบสี CMYK ตามหลักการแสดงสีของเครื่องพิมพ์
            3. ระบบสี HSB ตามหลักการมองเห็นสีของสายตามนุษย์ 
            4. ระบบสี LAB ตามหลักการแสดงสีที่ไม่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ใด ๆ 

             1.4.1  ระบบสี RGB
            ย่อมาจากคำว่า Red Green และ Blue เป็นระบบสีที่เกิดจากการรวมกันของแสงสีแดง
สีเขียว และสีน้ำเงิน เมื่อมีการใช้สัดส่วนของ สีนี้ต่างกัน จะทำให้เกิดสีต่าง  ได้อีกมากมายถึง 16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นปกติ โดยสีที่ได้จากการผสมสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี ถ้าหากสีมีความเข้มมากเมื่อนำมาผสมกันจะทำให้เกิดเป็นสีขาว จึงเรียกระบบสีนี้ว่า Additive หรือการผสมสีแบบบวกหลักการแสดงสีของจอคอมพิวเตอร์นั้นจะแสดงสีเป็นระบบ RGB อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกโหมดการทำงานใดก็ตาม ดังแสดงในภาพที่ 1.5

ภาพที่ 1.5 ระบบสี GRB

                   1.4.2   ระบบสี CMYK
                   ย่อมาจากคำว่า Cyan Magenta Yellow และ Black เป็นระบบสีมาตรฐานที่เหมาะกับงานพิมพ์ พิมพ์ออกทางกระดาษหรือวัสดุผิวเรียบอื่น ๆ โดยทำการแก้ไขจุดบกพร่องของระบบสี RGB 
ที่เครื่องพิมพ์ ไม่สามารถพิมพ์สีบางสีออกไปได้ ซึ่งประกอบด้วยสีหลัก 4 สี ได้แก่ สีฟ้า สีชมพูม่วง สีเหลือง และสีดำ เมื่อนำสีทั้งหมดมาผสมกันจะเกิดเป็นสีดำ จึงเรียกระบบสีนี้ว่า Subtractive Color หลักการเกิดสีของระบบนี้คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนแสงจากสีหนึ่งและสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่าง ๆ 
ดังแสดงในภาพที่ 1.6 


ภาพที่ 1.6  ระบบสี CMYK

                   1.4.3   ระบบสี HSB
                   เป็นระบบสีแบบการมองเห็นของสายตามนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
            Hue เป็นสีต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุแล้วเข้าสู่สายตา ทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ได้ ซึ่งแต่ละสีจะแตกต่างกันตามความยาวของคลื่นแสงที่มากระทบวัตถุและสะท้อนกลับมาที่สายตา ค่า Hue ถูกวัดโดยตำแหน่งการแสดงสีบนมาตรฐานวงล้อของสี (Standard Color Wheel) ซึ่งถูกแทนค่าสีด้วยองศา 0 ถึง 360 องศา แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วมักจะเรียกการแสดงสีนั้น ๆ เป็นชื่อของสีเลย เช่น สีแดง สีม่วง สีเหลือง
          Saturation เป็นการกำหนดค่าความสดของสี โดยค่าความสดของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 หากกำหนด Saturation เป็น 0 สีจะมีความสดน้อย แต่ถ้ากำหนดที่ 100 สีจะมีความสดมากค่าสีจะถูกวัดโดยตำแหน่ง การแสดงสีบน Standard Color Wheel ค่าของ Saturation จะเพิ่มขึ้นจากจุดกึ่งกลางจนถึงเส้นขอบโดยค่าที่ เส้นขอบจะมีสีที่ชัดเจนและอิ่มตัวที่สุดที่ 100
          Brightness เป็นระดับความสว่างและความมืดของสี โดยค่าความสว่างของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 หาก กำหนดค่า 0 ความสว่างจะน้อยซึ่งจะเป็นสีดำ แต่ถ้ากำหนดค่า 100 สีจะมีความสว่างมากที่สุด
ดังแสดงในภาพที่ 1.7


ภาพที่ 1.7 ระบบสี HSB

                    1.4.4    ระบบสี LAB 
                   เป็นมาตรฐานสำหรับการวัดค่าแบบครอบคลุมทุกสีในระบบสี RGB และ CMYK สามารถใช้กับสีที่ เกิดจากอุปกรณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ รวมทั้งอุปกรณ์อื่น   
ส่วนประกอบของระบบสีนี้ ได้แก่
          L  (Luminance) เป็นค่าความสว่าง จะมีค่าตั้งแต่ 0 (สีดำไปจนถึงค่า 100 (สีขาว)
          A  แสดงการไล่สีจากสีเขียวไปยังสีแดง
          B  แสดงการไล่สีจากสีน้ำเงินไปยังสีเหลือง
         ดังแสดงในภาพที่ 1.8




ภาพที่ 1.8 ระบบสี LAB